ไขคำตอบ! การแบ่งประเภทห้องพักโรงแรม รีสอร์ท
บทความนี้ RoomScope เขียนขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อ นักท่องเที่ยว นักศึกษา รวมถึงผู้ประกอบการโรงแรม รีสอร์ท และที่พักทุกสไตล์ ทั้งขนาดเล็ก และขนาดกลาง เพื่อตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการแบ่งประเภทของห้องพักในโรงแรม ว่าห้องแบบไหนบ่งบอกอะไร ทำไมเยอะแยะหลากหลายไปหมด และทำไมต้องรู้!
ขออธิบายก่อนว่า ห้องพักแต่ละประเภทเห็นคำสั้น ๆ แต่มีความหมายไม่สั้นตามเลย ประเภทห้องพักแต่ละประเภท จำเป็นต้องรู้ไม่ว่าจะในฐานะนักท่องเที่ยว หรือผู้ระกอบกิจการ เพราะประเภทห้องสามารถบ่งบอกถึงการรองรับจำนวนผู้เข้าพัก รูปแบบเตียงที่ให้บริการ พื้นที่ห้อง รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้อง เช่น มินิบาร์ อ่างอาบน้ำ ห้องครัว ไมโครเวฟ เครื่องซักผ้า โซฟาเบด เตียงเสริม เตียงสองชั้น เตียงเด็ก ฯลฯ
แม้ประเภทของห้องพัก จะสามารถเปลี่ยนชื่อได้ตามความต้องการตามรูปแบบ และสไตล์ของแต่ละโรงแรม ที่อยากสร้างการจดจำให้กับลูกค้า แต่อย่างไรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงคำจำกัดความพื้นฐานของชื่อประเภทห้องพักเดิมไปได้ เพื่อให้ผู้เข้าพักรู้ถึงความหมายที่เป็นสากล อาจจะมีบางคำที่อาจจะยังใช้กันสับสนอยู่บ้าง แต่ในบทความนี้ RoomScope จะมาอธิบาย และแยกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าประเภทห้องพัก ตามมาตรฐานสากลของธุรกิจโรงแรมแบ่งได้แบบไหนบ้าง
การแยกประเภทห้องพัก เราสามารถแบ่งได้เป็น 4 ข้อหลัก ๆ
- แบ่งห้องพักตามจำนวนคนเข้าพัก
- แบ่งห้องพักตามประเภทเตียง
- แบ่งห้องพักตามผังโรงแรม
- แบ่งห้องพักตามสิ่งอำนวยความสะดวก
1. แบ่งห้องพักตามจำนวนคนเข้าพัก
-
Single Room
คือ ประเภทห้องพักสำหรับลูกค้าที่เข้าพักคนเดียว หรือ พักเป็นคู่ แต่หลักเกณฑ์ของห้องประเภทนี้จะมีแค่เตียงเดียว ส่วนใหญ่จะใช้เตียง Double(7 ฟุต) ในการให้บริการ อาจจะมีบ้างที่ใช้เตียง Twin(Single) หรือ เตียง Queen ตามแต่พื้นที่ห้องของโรงแรมนั้น ๆ
-
Double Room
คือ ประเภทห้องพักสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก 2 คน อาจจะจัดเป็นเตียง Twin 2 เตียง หรือ เตียง Double(7 ฟุต) แค่เตียงเดียวก็ได้แล้วแต่โรงแรม (หากเจอห้องประเภทนี้ก่อนจองก็ลองสอบถามดูก่อนนะจ๊ะ)
-
Triple Room
คือ ประเภทห้องพักสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก 3 คน โรงแรมอาจจัดเป็นเตียง Twin 3 เตียง หรือ เตียง Double 1 เตียง + เตียง Twin 1 เตียง หรือ เตียง Double 2 เตียง ก็ได้
-
Quad Room
คือ ประเภทห้องพักสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก 4 คน อาจจะเป็นเตียง Double 2 เตียง หรือ เตียง Double 1 เตียง + เตียง Twin 2 เตียง หรือ อาจจะเป็นรูปแบบ Bunks bed (เตียง 2 ชั้น)ได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับขนาดห้อง และสไตล์ของโรงแรม
2. แบ่งห้องพักตามประเภทเตียง
-
ห้อง Queen
คือ ประเภทห้องพักสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก 1-2 คน โดยใช้เตียง Queen-sized ในการให้บริการ ในต่างประเทศทางฝั่งยุโรป หรือ อเมริกา ห้องประเภทนี้มักใช้สำหรับรองรับเด็กโต
-
ห้อง King
คือ ประเภทห้องพักสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก 1-2 คน โดยใช้เตียง King-sized ในการให้บริการ แต่เนื่องจากห้องประเภทนี้ ใช้เตียงขนาดที่ใหญ่กว่าห้อง Queen จึงเหมาะมากกว่าสำหรับผู้ใหญ่ที่เข้าพัก 2 คน
- ห้อง Twin (Twin-Beded Room)
คือ ประเภทห้องพักสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก 2-4 คน ต้องประกอบด้วยเตียง 2 เตียง อาจให้บริการเป็นเตียง King-sized 2 เตียง เตียง Queen-sized 2 เตียง หรือ เตียง King-sized/Queen-sezed 1 เตียง + เตียง Twin 2 เตียงก็ได้ ขึ้นอยู่กับพื้นที่ห้องของแต่ละโรงแรม
ถ้าเรากำลังพูดถึงห้อง TWIN หมายความว่าห้องนั้นจะต้องประกอบด้วยเตียง 2 เตียง(เตียงคู่นั่นเอง) ไม่ว่าจะเป็นไซส์ไหนก็ตาม แล้วแต่สไตล์ของโรงแรม แต่ถ้าเรากำลังพูดถึงเตียง จะหมายถึง เตียง TWIN-SIZED คือ เตียงขนาด 3.5 ฟุต(Single Bed นั่นเอง) ดังนั้นเวลาจองกับโรงแรม ต้องดูรายละเอียดให้ดี ว่าโรงแรมกำลังสื่อถึงอะไร หากไม่มั่นใจก็สอบถามเลยจะดีที่สุด เช่น ห้อง Twin ใช้เตียงไซส์อะไร? Single(3.5 ฟุต) Queen(5 ฟุต) หรือ King(6 ฟุต) อย่างนี้ก็ได้
-
ห้อง Hollywood Twin
คือ ประเภทห้องพักสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก 2 คน ประกอบด้วยเตียง Twin 2 เตียง จัดวางติดกัน ใช้หัวเตียง (Headboard) ร่วมกัน
-
ห้อง Double – Double
คือ ประเภทห้องพักสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก 2-4คน ใช้เตียง Double 2 เตียง ในการให้บริการ อาจใช้เตียง Queen หรือ King ก็ได้ (แต่จะไม่ถูกต้องตามหลักสากล) ห้องประเภทนี้จะเหมาะสำหรับครอบครัว ที่มีทั้งเด็กเล็ก และเด็กโต ที่ต้องการพักรวมกันห้องเดียว
-
ห้อง Studio
คือ ประเภทห้องพักสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก 2-4 คน ภายในห้องประกอบด้วยเตียงนอน โซฟา/โซฟาเบด หรือ เตียงเสริม มุมโต๊ะอาหาร อาจมีโซนห้องครัวเล็ก ๆ ด้วย
3. แบ่งห้องพักตามผังโรงแรม
กล่าวคือ บางโรงแรมอาจออกแบบห้องแต่ละห้องไม่เหมือนกัน ตามแผนผังของโรงแรมที่เป็นตัวกำหนด ทำให้ราคาและรูปแบบของแต่ละห้อง ถูกกำหนดจากแผนผังของโรงแรม เช่น บางห้องขนาดเล็ก บางห้องขนาดใหญ่ บางห้องมีพื้นที่สำหรับทำครัว บางห้องอยู่ติดกัน มีประตูกลางสามารถเปิดหากันได้ เราไปดูการแบ่งประเภทห้องแบบนี้กัน
-
Standard Room
คือ ประเภทห้องพักสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก 1-2 คน คอนเซปท์ค่อนข้างใกล้เคียง กับห้องประเภท Single Room หรือ Queen แต่สิ่งที่บ่งชี้สำหรับห้องนี้ถ้าตามหลักสากลจะต้องใช้ Double Bed ในการให้บริการ
-
Superior Room
คือ ประเภทห้องพักสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก 1-2 คน ถ้าเทียบกับห้อง Standard จะแตกต่างกันตรงที่ห้องจะขนาดใหญ่กว่า และสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่า
-
Deluxe Room
คือ ประเภทห้องพักสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก 2-3 คน มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โซฟา หรือ ข้าวของเครื่องใช้ที่มากกว่า หรือ มีวิวทิวทัศน์ที่ดีกว่าห้อง Superior
-
Joint Room
คือ ประเภทห้องพักสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก 3-4 คน ไม่ค่อยเห็นใช้ในบ้านเรา แต่เป็นที่นิยมในฝั่งยุโรป จุดเด่นของห้องประเภทนี้ คือ การใช้ห้อง 2 ห้องที่ติดกัน ใช้กำแพง/ผนังเดียวห้องกัน เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็กโต สามารถอยู่ห้องโดยที่ดูแลตัวเองได้ แต่ก็ยังต้องอยู่ภายในการดูแลของผู้ปกครอง
-
Connecting Room
คือ ประเภทห้องพักสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก 3-4 คน เป็นห้อง 2 ห้องที่มีประตูกลางสามารถเปิดหากันได้ เหมาะสำหรับครอบครัว หรือเพื่อนฝูง ที่มาพักด้วยกันแล้วไม่ต้องการเดินเข้า-ออก จากประตูหลัก ตามโรงแรมแบรนด์ใหญ่ในประเทศไทย ยังเห็นห้องประเภทนี้ให้บริการอย่างแพร่หลาย
-
Suite
คือ ประเภทห้องพักสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก 2-4 คน โดยห้องประเภทนี้ สามารถแยกย่อยได้อีกเป็น
- Mini Suite หรือ Junior Suite - Basic Suite – Executive Suite – Master Suite – Presidential Suite ซึ่งแต่ละแบบ มีความเฉพาะแยกย่อยกันออกไป เช่น ขนาดห้อง ขนาดเตียง ในการให้บริการ หรือจะเป็นการแบ่งสัดส่วนห้อง ที่อาจจะมีแยกส่วนของห้องนอนเพิ่ม มีแยกส่วนของห้องครัวเพิ่ม โดยมีห้องที่ชื่อ Presidential Suite ที่มีราคาสูงสุด และมีสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ อย่างครบครัน ในโลเคชั่น และวิวทิวทัศน์ที่ดีที่สุดด้วย
4. แบ่งห้องพักตามสิ่งอำนวยความสะดวก
-
Villa
เป็นที่นิยมในบ้านเราเป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่จะใช้กับที่พักแนวรีสอร์ททั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ รีสอร์ทที่เพิ่งสร้างใหม่ในปัจจุบันมักจะตั้งเป็นชื่อแทนเลขที่ห้อง ข้อดี คือ ชื่อเหล่านั้นสามารถถ่ายทอดความรู้สึก และแสดงถึงอัตลักษณ์ของรีสอร์ทถึงลูกค้าได้ชัดเจนมากกว่าเลขที่ห้อง
ลักษณะเฉพาะของ Villa คือ ห้องจะต้องถูกแยกสัดส่วนออกมา ทีความเป็นส่วนตัวสูง มีพื้นที่กว้าง อาจจะมีสวนหรือสนามหญ้าขนาดเล็กด้วย Villa อาจจะประกอบด้วยหลายห้องนอนได้ มีโซนนั่งเล่น หรือห้องรับแขก มีระเบียง/ชาน ตากอากาศ หากมีสระว่ายน้ำด้วย เราสามารถใส่ชื่อ Pool Villa รวมไปได้เช่นกัน
-
Cabana
ห้องประเภทนี้ในบ้านเราจะไม่ค่อยคุ้นหูกัน เนื่องจากสิ่งที่บ่งชี้ของห้องประเภทนี้ คือ สระว่ายน้ำ แบบว่าเปิดห้องมาแล้วต้องเดินลงสระว่ายน้ำได้เลย หรือสระว่ายน้ำจะต้องอยู่ติดกับห้อง ดังนั้นด้วยลักษณะแบบนี้ บ้านเรานิยมใช้เป็นคำว่า Pool Access กัน หรือ ถ้าเป็นพื้นที่ส่วนตัวก็จะใช้ Pool Villa ไปเลย
-
Penthouse
ห้องประเภทนี้ จะพบในโรงแรมระดับ 5 ดาว หรือ Luxury หรือ Ultra Luxury Hotel เท่านั้น หากเปรียบเทียบ ก็สามารถเปรียบได้กับห้องประเภท Presidential Suite ที่จะต้องเป็นห้องที่ตกแต่งหรูหราที่สุด วิวดีที่สุด(บางโรงแรมจึงมีห้องประเภทนี้อยู่ชั้นบนสุด) มีขนาดพื้นที่ห้องใหญ่ที่สุด ข้าวของเครื่องใช้ต้องครบ สิ่งอำนวยความสะดวกต้องเป็น Luxury Brand ทั้งหมด
และทั้งหมดนี้ คือ ประเภทห้องพัก ที่นิยมใช้กันในโรงแรม รีสอร์ท หรือบูติค โฮเทล ซึ่งจะช่วยให้นักท่องเที่ยวรู้ถึงลักษณะเฉพาะของห้องคร่าว ๆ ก่อนทำการจอง แม้ประเภทห้องพักจะช่วยสื่อความหมายได้ระดับนึงแล้ว แต่ข้อมูลจำเป็นต่าง ๆ ก็ยังจำเป็นต้องสื่อสารให้กับลูกค้าเข้าใจตรงกัน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในวันเข้าพัก เช่น ห้องใช้เตียงแบบไหน ขนาดเท่าไร? ห้องเสริมเตียงได้ไหม? ในห้องมีอ่างอาบน้ำ (ฺBathtub) ไหม? เพราะถ้ายิ่งให้ข้อมูลได้ครบ และชัดเจน จะช่วยลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นหน้างานไปได้มาก
สุดท้ายนี้ RoomScope ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบบริหารโรงแรมขนาดเล็ก หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับนักท่องเที่ยว นักศึกษา ผู้ประกอบการที่หาข้อมูลเกี่ยวกับห้องพักแต่ละประเภทอยู่ ฝากเป็นกำลังใจ และติดตามผลงานของ RoomScope ได้ทาง FACEBOOK หรือแนะนำ/ติชม ได้ที่ contact@roomscope.com ขอให้เป็นวันที่ดีสำหรับทุกคน